1 เมษายน วันเลิกทาส วันแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโครงสร้างสังคมไทย🔰

แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี (พ.ศ. 2563-2566) …..
วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

1 เมษายน 2448 วันเลิกทาส วันสำคัญที่จารึกว่าประชาชนชาวสยามได้พ้นความเป็นทาส ได้เป็นไทแก่ตัว นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของโครงสร้างสังคมไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

          เมื่อเอ่ยถึงวันที่ 1 เมยายน หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงวัน Apri Fool Day หรือวันเมษาหน้าโง่ ซึ่งตามธรรมเนียมชาวตะวันตก วันนี้เป็นวันที่สามารถล้อเล่น แกล้งคนอื่นแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้โดยที่ไม่ถือสาหาความกัน แต่สำหรับประเทศไทยนั้น วันนี้คือวันที่เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในประวัติศาสตร์ นั่นคือวันที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาส เมื่อปี พ.ศ. 2448

          นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2411 นั้น พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า ประชากรชาวสยามจำนวนกว่าหนึ่งในสามของทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นทาสทั้งสิ้น การที่ทาสมีอยู่เป็นจำนวนมากนั้นมีสาเหตุเพราะว่าทาสนั้นเป็นกันตลอดชีวิต เมื่อหญิงชายที่เป็นทาสพบรักกันแล้วมีลูก ลูกที่กำเนิดออกมาก็จะกลายเป็นทาส เมื่อมีลูกสืบหลานก็จะเป็นทาสกันต่อไป ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด

          ทาสที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสเรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย ซึ่งเป็นประเภทของทาสที่ได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากสื่อสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ มีการนำเสนอชีวิตเกี่ยวกับทาสประเภทนี้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งนี้ประเภทของทาสไม่ได้มีแค่ทาสในเรือนเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่สามารถแบ่งออกได้ทั้งหมด 7 ประเภทด้วยกัน ดังต่อไปนี้ 

          1. ทาสในเรือนเบี้ย คือ ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสอยู่ภายในบ้านของนายทาส นับว่ามีสถานะเป็นทาสตั้งแต่กำเนิด และทาสชนิดนี้จะไม่สามารถไถ่ถอนตัวเองได้ 

          2. ทาสสินไถ่ คือ ทาสที่มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาทาสทั้งหมด ทาสชนิดนี้มักจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน ไม่สามารถหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวหรือตนเองได้ จึงได้ขายตัวหรือคนในครอบครัวไปเป็นทาส ซึ่งมีตั้งแต่ พ่อแม่ขายลูก สามีขายภรรยา หรือบุคคลนั้น ๆ ประสงค์จะขายตัวเอง แต่ถ้าหากมีผู้นำเงินมาไถ่ถอน ทาสประเภทนี้ก็จะสามารถเป็นไท พ้นจากความเป็นทาสได้ 

          3. ทาสที่ได้รับมาด้วยมรดก คือ ทาสที่ตกเป็นมรดกต่อเนื่องมา ทาสประเภทนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนายทาสคนเดิมเสียชีวิตลง และได้มอบทาสมรดกให้แก่นายทาสคนต่อไป

          4. ทาสท่านให้ คือ ทาสที่ได้รับมาจากผู้อื่น

          5. ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ  ทาสประเภทนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ บุคคลใดก็ตามเกิดกระทำความผิดแล้วถูกลงโทษเป็นเงินค่าปรับ แล้วบุคคลผู้นั้นไม่สามารถหาเงินมาชำระค่าปรับได้ แต่มีผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือชำระจัดการให้ บุคคลผู้นั้นจะเป็นทาสของผู้ให้ความช่วยเหลือในการชำระค่าปรับ

          6. ทาสเชลย คือ ทาสที่ได้หลังจากชนะศึกสงคราม ผู้ชนะจะกวาดต้อนประชากรของจากเมืองหรือดินแดนของผู้แพ้สงครามไปยังบ้านเมืองของตน แล้วนำประชากรเหล่านี้ไปเป็นทาสรับใช้

          7. ทาสที่ช่วยไว้ให้พ้นจากความอดอยาก ทาสประเภทนี้แต่เดิมคือไพร่ ไพร่ผู้ซึ่งไม่สามารถทำงานให้หลวงได้ หรือไม่สามารถประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้ ไพร่อาจขายตนเองไปเป็นทาส เพื่อให้นายทาสช่วยเหลือ

          หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การเลิกทาสในสยาม คือ การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงในปี พ.ศ. 2398 ที่ทำให้สยามเปิดการค้าเสรีกับประเทศตะวันตก ส่งผลให้เศรษฐกิจและสังคมไทยต้องเปลี่ยนแปลงไปจากการกำเกษตรเพื่อยังชีพมาเป็นผลิตเพื่อขาย ประเทศจำเป็นต้องมีการปฏิรูปที่ดิน และต้องการแรงงานเพื่อป้อนเข้าสู่ระบบการผลิตเพื่อค้าขายกับต่างชาติ แต่ด้วยความที่สยามมีทาสมากอีกทั้งทาสก็เป็นกันยาวนานไม่สิ้นสุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระราชดำริให้ชำระกฎหมาย เปลี่ยนแปลงแก้ไขความเป็นทาสในรุ่นลูกเสียใหม่ 

          ในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 รัชกาลที่ 5 จึงได้ทรงโปรดให้ออกพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย มีเนื้อหาใจความว่าด้วยการแก้พิกัดค่าตัวทาสใหม่ โดยสั่งให้ลดค่าตัวทาสลงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ และหมดค่าตัวเมื่ออายุได้ 20 ปี เมื่อทาสผู้ใดก็ตามมีอายุได้ 21 ปี ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระ โดยมีผลบังคับใช้กับทาสทุกคนที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 เป็นต้นมา และนอกจากนี้ยังห้ามมิให้ซื้อ-ขายบุคคลที่มีอายุมากกว่า 20 ปีกลับมาเป็นทาสต่อไปอีก

          หลังจากที่ทรงมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาทาสไทยมาเป็นเวลาร่วม 30 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงออกพระราชบัญญัติเลิกทาสมีชื่อว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ. 124 ในปี พ.ศ. 2448 มีใจความสำคัญว่า วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 ให้บุคคลผู้เป็นลูกทาสในเรือนเบี้ยทุกคนเป็นไท ส่วนทาสประเภทอื่นทรงให้ลดค่าตัวเดือนละ 4 บาท นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2448 เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติป้องกันมิให้คนที่เป็นไทแล้วกลับไปเป็นทาสอีก และเมื่อทาสจะเปลี่ยนเจ้าเงินใหม่ ก็ห้ามมิให้ขึ้นค่าตัว 

 รัชกาลที่ 5 ทรงใช้ความวิริยะอุตสาหะจัดการเลิกทาสด้วยวิธีการละมุนละม่อม ค่อย ๆ ทำตามลำดับขั้นตอน จนในที่สุดข้าทาสและไพร่ที่หลุดพ้นจากระบบดั้งเดิม ได้กลายเป็นราษฎรสยามและต่างมีโอกาสประกอบอาชีพหลากหลาย 

          นับว่าการเลิกทาสเป็นผลสำเร็จ และเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ไทย นอกจากนี้การเลิกทาสยังนำไปสู่การพัฒนามากมายหลายสิ่ง การผลิตเพื่อส่งออกก่อตัวขึ้นเนื่องจากมีแรงงานป้อนเข้าสู่ระบบ ทำให้ไทยสามารถเร่งปลูกข้าว จัดการค้าไม้ ทำเหมืองแร่ ส่งออกไปยังต่างประเทศ อีกทั้งยังทำให้เกิดการปรับปรุงภาษี เงินตราหมุนเวียนมากขึ้น จนเกิดธนาคารแห่งชาติขึ้นหลายแห่งอีกด้วย 

 30,960 total views,  9 views today

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *